หน้าเว็บ

กลอนพ่อท่านวัลลภ







          คุณพ่อทองหล่อ   เกตุพรมมา
      เกิดที่ บ้านวังวน ตำบลวังวน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก
เกิดวันเสาร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.. ๒๔๗๘ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๘  ปีกุน เสียชีวิตด้วยอาการสงบ ด้วยโรคหัวใจตีบตัน เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ โรคไตระยะที่ 3 โรคปอดติดเชื้ออักเสบ ได้เสียชีวิตลง เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ..๒๕๖๑ เวลา ๑๘.๐๑ น. (หกโมงเย็นหนึ่งนาที)
                      รวมสิริอายุได้ ๘๓ ปี ๔ เดือนอีก ๒ วัน
บิดา พ่อหมี  เกตุพรมมา (เสียชีวิต) โยมพ่อเคยเล่าให้ฟัง
บิดาพ่อบุญธรรม  นายอ่อน  จันทร์งาม (เสียชีวิต)
มารดา นางบุญ จันทร์งาม (เสียชีวิต)
                                มีพี่น้อง 5 คน
นายบุญเหลือ  เกตุพรมมา (เสียชีวิต)
นายทองหล่อ เกตุพรมมา (เสียชีวิต)
นางมะลิ พึ่งกลิ่น (เสียชีวิต)
นายอัศวิน  จันทร์งาม (ยังมีชีวิตอยู่)
นางหลอด มั่งเงิน (ยังมีชีวิตอยู่)






           พ่อทองหล่อ  เกตุพรมมา สมรสกับแม่วัง เกตุพรมมา
                   มีบุตรและธิดา เมื่อปี พ..2509
๑.  พระมหาเฉลิม  เกตุพรมมา
๒.พระแฉล้ม เกตุธมฺโม (เกตุพรมมา) ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วัลลภ
๓. นายวิไล เกตุพรมมา ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วิลาศ
๔. นางสุมาลี  เกตุพรมมา
๕.นายอุทัยวุฒิ เกตุพรมมา
๖.  นางสาวพวงแก้ว เกตุพรมมา
                                ประวัติย่อโยมพ่อ
  โยมพ่อสมัยที่ยังมีพละกำลังร่างกายและแช็งแรง ในตัวแล้วอาตมาในความเป็นลูก โยมพ่อเป็นคนที่ต่อสู้ชีวิตน่าดู จากโยมอาหลอด (อาคนสุดท้อง) เล่าให้อาตมาฟัง โยมพ่อ สมัยที่อยู่บ้านปากลาดใหม่ ตำบลวัดพริก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สมัยนั้นยังไม่มีรถเหมือนสมัยนี้ โยมพ่อต้องหาบผักไปยังตลาดใหญ่ในตัวเมืองจังหวัดพิษณุโลก เป็นระยะทางหลายกิโล พ่อทองหล่อต้องตื่นแต่ดึก เพื่อหาบผักไปขายเลี้ยงลูก แต่โยมพ่อก็ไม่เคยย่อท้อ สู้ทนทำไป
   เมื่อประมาณปี พุทธศักราช อาตมาก็จำไม่ได้แล้ว จำได้ว่าอาตมากำลังจะเข้าเรียนโรงเรียนเตรียม สมัยนี้ก็อนุบาล ไปเข้าโรงเรียน ป.1 ที่โรงเรียนบ้านวังวน ตำบลวังวน อำเภอวังวน จังหวัดพิษณุโลก หลังจากนั้นโยมพ่อได้ย้ายครอบครัว ไปอยู่บ้านวังเฉลียง ตำบลบึงพิไกร อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ประมาณปี พุทธศักราช 2519 (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ถ้าจำไม่ผิดอยู่ที่นั่นประมาณ 1 ปี โยมพ่อได้ย้ายครอบครัว พาลูกๆกระเตงๆมาอยู่ที่ บ้านปลักไม้ดำ ตำบลลานกระบือ อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร อาตมากำลังเข้า ป.2 และใช้ชีวิตอยู่ปลักไม้ดำ จนกระทั่งอาตมาเรียนจบ ป.6 เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๕ (ถ้าจำไม่ผิดนะ) อาตมากำลังเรียนอยู่ในชั้น ป.6 ใกล้จะจบแล้ว ครูสุรศักดิ์ (นามสุกุล) อาตมาจำไม่ได้ เป็นครูสอนหนังสือชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ที่โรงเรียนบ้านปลักไม้ดำ ตำบลลานกระบือ อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร อาตมาใกล้จะจบแล้ว ครูได้ชวนอาตมาไปเที่ยวที่บ้านท่านที่จังหวัดสุโขทัย หลังจากกลับมาจากจังหวัดสุโขทัย อาตมาได้จักรยาน มาหนึ่งคัน ครูสุรศักดิ์ท่านนี้มอบให้อาตมา ด้วยความดีใจที่ได้จักรยานมาหนึ่งคัน แต่ก็มาระคน ความสุข ปนกับความเศร้า เมื่อกลับมาถึงบ้าน เห็นความเศร้าซึมของโยมพ่อและโยมแม่ ก็เลยถามได้จำความว่า เมื่อคืนก่อนพระจะกลับมาจากสุโขทัย ได้มีคณะโจรชุดหนึ่งขึ้นปล้นบ้าน โยมพ่อบอกว่า สมบัติที่พ่อแต่งงานกับแม่ ไม่มีอะเหลือเลย เขาขนไปเกลี้ยง นี่แหละอาตมาจึงบอกว่า ระคนความสุขปนความกับดีใจและสุดท้ายก็มานั่งเศร้า
   หลังจากนั้น มีเรื่องราวต่างๆตามมาในชีวิตของโยมพ่อมากมาย โยมพ่อบอกกับพวกเราว่า พวกเราอยู่กันที่นี่ไม่ได้แล้ว พวกเราต้องอพยพหนีแล้วละ ด้วยความเป็นเด็ก พวกเราก็ไม่ค่อยประสีประสาอะไร ก็ต้องอพยพย้ายครอบครัวตามโยมพ่อ มาอยู่ที่บ้านวังวน ตำบลวังวน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตอนนั้นพี่ชายได้มาบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดธรรมจักร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก หลังจากในเมื่อชีวิตพกผันเป็นเช่นนี้ อาตมาก็ได้ขอลาโยมพ่อโยมพ่อ มาบวชเป็นสามเณรอยู่ที่ วัดราชบูรณะ จ.พิษณุโลก ส่วนน้องชายคือเบิ้ม มาทำงานอยู่โรงงานผลิตลูกชิ้นอยู่กับลุงสัน ที่จังหวัดสระบุรี น้องชายได้เห็นความก้าวหน้าของชีวิต บอกกับลุงว่า อยากจะมีชีวิตสุขสบาย ไม่อยากกลับไปทำนาให้ลำบากแล้ว น้องชายก็ได้ไปขอยืมทุน จากลุงผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง เอ่ยชื่อท่านก็ได้ คือลุงสัน ให้ทุนทำลูกชิ้นมาก้อนหนึ่ง พอชีวิตเริ่มดีขึ้น น้องชายก็เลยไปเอาโยมพ่อและโยมแม่ พี่ๆน้องๆ มาทำลูกชิ้นอยู่ที่อยุธยา แต่ชีวิตไม่ได้อยู่นิ่ง ชีวิตต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ตอนแรกลงที่บ้านหมอก่อน ต่อมาย้ายไปอยู่ที่โคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ชีวิตยังไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งย้ายเข้ามาอยู่ที่ บ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาปัจจุบันนี้ โยมพ่อจากที่เคยลำบากก็สุขสบายขึ้นมา เพราะลูกชายคนหนึ่งที่ผลิตลูกชิ้นประสพผลสำเร็จกับชีวิต จึงขอนำประวัติกล่าวย่อๆมาเล่าให้ฟังฯ พอเป็นสังเขปฯ



กลอนพ่อท่านวัลลภ


ยี่สิบห้า พฤศจิกาฯ ห้าหกหนึ่ง

เป็นวันซึ่ง อกสั่น ขวัญสลาย

เหมือนโดนมีด กรีดลง ตรงใจกาย

พ่อวางวาย ไปลับ ไม่กลับคืน



ข่าวโยมพ่อ โรครุมเร้า เข้าโรงบาล

ร่างกายท่าน ย่ำแย่ แกสุดฝืน

ท่านทิ้งร่าง กายทรุด ดุจท่อนฟืน

เหล่าลูกหลาน สะอื้น คืนจากลา



เห็นร่างพ่อ บนเฟสฯให้ ใจเหี่ยวห่อ
โอ้โอหนอ. เข่าทรุด สุดเรียกหา

คลิ๊กดูภาพ ศพพ่อทองฯ​ ของบิดา

สุดเหว่หว้า พ่อมาพราก จำจากจร



ต่อไปนี้ ไม่มี โยมพ่อแล้ว

เหลือเพียงแนว ความทรงจำ เคยพร่ำสอน

เหลือเพียงภาพ ความหลัง นั่งอาวรณ์

เหลือเสื่อหมอน ของเคยใช้ ท่านไว้ดู




ภาพความหลัง ผุดขึ้นเห็น เป็นฉากฉาก

พ่อลำบาก เลี้ยงลูกหลาน ท่านนั้นสู้

ต้องเก็บผัก หักฟืนขาย ไว้เลี้ยงดู

ท่านเป็นอยู่ อย่างสันโดษ ไม่โกรธใคร



ยอมลำบาก ทุกอย่าง สร้างฐานะ
มุมานะ. อดออม ยอมเหงื่อไหล

อดทนสู้ ลำบาก อาบเหลื่อไคล

ทุ่มเทให้ ทุกคน จนวันตาย



แสนอาลัย ทองหล่อ พ่อของลูก

ร่วมสุขทุกข์ ร่วมยากจน ทนขวนขวาย

พ่อเหนื่อยนาน จงไปลับ หลับสบาย

ตัดอาลัย กับลูกหลาน งานที่ทำ



ตัดอาลัย ในสังขาร สู้ผ่านโรค

ที่สับโขลก ภายใน ทำให้ช้ำ
จงสลัด ความทุกข์ สุดระกำ

ขอพระธรรม จงช่วย อำนวยเทอญ.


…………………………………………….




อนิจจา สังขาร ไม่เที่ยงหนอ

มีเกิดก่อ พังยุบ บุบสลาย

เมื่อเกิดแล้ว ไม่จีรัง พังทะลาย

การเข้าไป ดับสังขาร นั้นสุขจริง (คำแปลอนิจจา)




ไม่นานหนอ กายนี้ จะนอนนิ่ง
กายจะทิ้ง ตนลงแคร่ นอนแผ่หรา

บนกองซาก กากดิน ถิ่นพสุธา
ปราศวิญญาณ์ ดุจท่อนไม้ ไร้คนชม.(คำแปลอะจิรัง)




ขอให้ไปสู่สุคตินะพ่อออก










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น